กรรมการกู้ยืมเงินแทนบริษัท : ดอกเบี้ยจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายกิจการ ?
กรรมการกู้ยืมเงินแทนบริษัท: ดอกเบี้ยจ่ายเป็นค่าใช้จ่ายกิจการ ?
กรรมการกู้ยืมเงินแทนบริษัท เนื่องจากการกู้เงินจากธนาคารใน นิติบุคคลติดเงื่อนไขที่ธนาคารไม่สามารถให้ สินเชื่อต่อกิจการได้โดยตรง โดยการกู้ยืมเงินมีวัตถุประสงค์เพื่อ เป็น
สินเชื่อที่ใช้ในการดำเนินธุรกิจ เพื่อสนับสนุนการขยายกำลังการผลิต หรือการลงทุนใหม่ ทั้งอาคาร โรงงาน เครื่องจักร และอุปกรณ์ หรือเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ โดยธนาคารจะพิจารณาจัดรูปแบบของสินเชื่อ อัตราดอกเบี้ย ประเภทการใช้วงเงิน และระยะเวลาการชำระคืนที่เหมาะสมกับแต่ละธุรกิจ เช่น
สินเชื่อธุรกิจระยะสั้น เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนของกิจการ และเสริมสภาพคล่องในการประกอบธุรกิจ
สินเชื่อธุรกิจระยะยาว เป็นสินเชื่อที่มีระยะเวลาการกู้เงิน 3 -10 ปี ขึ้นอยู่กับสถานะการเงิน และความสามารถในการผ่อนชำระของลูกค้าแต่ละราย เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการสำหรับการลงทุนในโครงการต่างๆ เช่น
- ชำระหนี้เดิม (Refinance)
- ขยายกิจการ สร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม โรงงาน/อาคารสำนักงาน รวมทั้งการซื้อสินทรัพย์ถาวรอื่นๆ อาทิ เครื่องจักรในการผลิต ยานพาหนะ และอุปกรณ์ต่างๆ
- ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ เช่น ซื้อบ้านพักรับรอง ฯลฯ ซึ่งเป็นบริการที่ลูกค้าจะได้รับประโยชน์ เนื่องจากเป็นการลงทุนในสินทรัพย์ของบริษัท ซึ่งค่าเสื่อมราคาสินทรัพย์และดอกเบี้ยเงินกู้ ยังถือเป็นค่าใช้จ่ายธุรกิจที่สามารถหักภาษีเงินได้นิติบุคคลได้
(ที่มา https://www.lhbank.co.th /สินเชื่อธุรกิจ SME)
ข้อหารือทางภาษี กรรมการกู้ยืมเงินแทนบริษัท
กค 0702/4071 ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีรายจ่ายดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บริษัทจ่ายแทนกรรมการ
ข้อหารือ
บริษัทฯ มีเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินกิจการไม่เพียงพอ และไม่สามารถกู้เงินจากธนาคารเพิ่มเติมได้อีก ที่ประชุม คณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้กรรมการเป็นผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารโดยนำหลักทรัพย์ส่วนตัวไปค้ำประกันเงินกู้ – มีมติและรายงานการประชุมชัดเจนว่าต้องการดำเนินการอะไร
เพื่อนำเงิน มาให้บริษัทฯ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเป็นจำนวนเงิน 10 ล้านบาท โดยบริษัทฯ เป็นผู้ชำระดอกเบี้ยเงินกู้ให้แก่ธนาคารแทน กรรมการ — วัตถุประสงค์เพื่อกิจการอย่างแท้จริง
บริษัทฯ จึงขอทราบว่า จะนำรายจ่ายค่าดอกเบี้ยเงินกู้ที่ชำระให้ธนาคารแทนกรรมการดังกล่าว มาเป็นรายจ่าย ในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย
หากบริษัทฯ มีหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า
1. กรรมการของบริษัทฯ เป็นผู้กู้ยืมเงินจากธนาคารเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่าย ในการดำเนินกิจการของบริษัทฯ และ
2.เงินที่กู้มาจากธนาคารได้มีการนำเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของบริษัทฯ รวมทั้ง
3.บริษัทฯ ได้รับรองว่าเป็นการกู้ยืมเงินในนามของบริษัทฯ และ
4. บริษัทฯ เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเงินกู้ยืมโดยตรง
บริษัทฯ จึงจะมีสิทธินำดอกเบี้ยเงินกู้ยืมที่บริษัทฯ จ่ายแทนกรรมการมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อเสียภาษีเงินได้ นิติบุคคลได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร แต่อย่างใด
กค 0706/3461 ภาษีเงินได้นิติบุคคล กรณีกรรมการบริษัทกู้เงินธนาคาร
ข้อหารือ
: บริษัทฯ ได้กู้เงินจากธนาคาร โดยใช้ชื่อกรรมการบริษัทฯ เป็นผู้กู้ สรุปข้อเท็จจริงได้ ดังนี้
นาย ก. และนาย ธ. ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทฯ ได้กู้เงินจากธนาคารโดยนำที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้าง ของนาย ก. จดทะเบียนจำนองการกู้ยืมเงิน และได้นำเงินที่กู้ยืมเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารของบริษัทฯ เพื่อปลูกสร้างอาคารบนที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าว
ซึ่งบริษัทฯ ได้ทำสัญญาเช่าที่ดินจากนาย ก. โดยใบอนุญาตก่อสร้างเป็นชื่อของบริษัทฯ การที่ใช้ชื่อกรรมการเป็นผู้กู้ยืมเงินดังกล่าวเนื่องจากบริษัทฯ จัดตั้งขึ้นใหม่ฐานะทางการเงินยังไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของธนาคารจึงต้องใช้ชื่อของกรรมการบริษัทฯ กู้เงินไปก่อน
บริษัทฯ จึงขอทราบว่า
(1) บริษัทฯ มีสิทธินำใบรับค่าดอกเบี้ยนำมาเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้หรือไม่ อย่างไร (หากมีเอกสารอ้างอิงถึงการนำเงินกู้มาใช้เป็นค่าก่อสร้างอาคาร เช่น รายละเอียดการอนุมัติเงินกู้จากทางธนาคารที่ระบุงบที่ใช้ในแต่ละขั้นตอนของการก่อสร้างอาคารของบริษัทฯ รายงานการประชุมการกู้เงินของกรรมการบริษัทฯ หนังสือจากธนาคารที่ระบุถึงการที่นิติบุคคลกู้ร่วมกับบุคคลธรรมดาไม่ได้ เป็นต้น
(2) ใบรับค่าธรรมเนียม ค่าอากรในการจดจำนองจากกรมที่ดิน กรณีใบรับใช้ชื่อเดียวกับใบรับตาม (1) สามารถนำมาหักเป็นค่าใช้จ่ายของบริษัทฯ ได้หรือไม่
แนววินิจฉัย
1. กรณีค่าดอกเบี้ยเงินกู้ยืม ตามข้อเท็จจริงกรรมการของบริษัทฯ เป็นผู้กู้ยืมเงิน จากธนาคารเพื่อนำมาเป็นค่าใช้จ่ายในการก่อสร้างและตกแต่งอาคาร ใช้เป็นสถานประกอบ กิจการของบริษัทฯ โดยการปลูกสร้างอาคารดังกล่าวเป็นการปลูกสร้างอาคารลงบนที่ดินที่
บริษัทฯ ได้เช่ามาจากกรรมการฯ ซึ่งบริษัทฯ เป็นผู้ขออนุญาตปลูกสร้างอาคารดังกล่าวและ
เงินที่กู้มาจากธนาคารก็ได้มีการนำเข้าบัญชีเงินฝากธนาคารในนามของบริษัทฯ และ
บริษัทฯ ได้รับรองว่า เป็นการกู้ยืมในนามของบริษัทฯ ตามบันทึกรายงานการประชุมของผู้ถือหุ้น
ดังนั้น บริษัทฯ จึงเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากเงินกู้ยืมโดยตรง ซึ่งบริษัทฯ ต้องร่วมรับผิด ในการกู้ยืมเงินนั้นด้วย
ดังนั้น ดอกเบี้ยที่เกิดจากเงินกู้ยืมดังกล่าวย่อมเป็นรายจ่ายของบริษัทฯ โดยตรง
แต่เนื่องจากได้จ่ายไปในระหว่างการก่อสร้างจนถึงการก่อสร้างแล้วเสร็จหรืออาคาร ใช้การได้ตามสภาพ จึงเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามมาตรา 65 ตรี (5) แห่ง ประมวลรัษฎากร จะนำไปหักเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิไม่ได้ แต่มีสิทธินำไปรวม คำนวณเป็นมูลค่าอาคาร เพื่อหักค่าสึกหรอและค่าเสื่อมราคาตามมาตรา 65 ทวิ (2) แห่ง ประมวลรัษฎากร ประกอบกับพระราชกฤษฎีกา (ฉบับที่ 145) พ.ศ. 2527 สำหรับดอกเบี้ยเงินกู้ที่ต้องจ่ายไปหลังจากการก่อสร้างแล้วเสร็จหรืออาคารนั้นใช้การได้ตามสภาพ บริษัทฯ ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิของแต่ละรอบระยะเวลาบัญชีที่พึงต้องจ่ายได้
2. กรณีค่าธรรมเนียม และค่าอากรในการจดทะเบียนจำนอง ตามข้อเท็จจริงเป็นกรณีกรรมการนำที่ดินของตนไปจดทะเบียนจำนอง ซึ่งเป็นการค้ำประกันการกู้ยืมเงินเพื่อปลูกสร้างอาคารใช้เป็นสถานประกอบการของบริษัทฯ ค่าธรรมเนียมและค่าอากรในการจดทะเบียนจำนองดังกล่าว
หากปรากฏหลักฐานเป็นค่าใช้จ่ายของกรรมการบริษัทฯ ผู้จดทะเบียนจำนอง ค่าใช้จ่ายดังกล่าวไม่ถือเป็นรายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะ
บริษัทฯ ไม่อาจนำมาถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิไม่ได้ ต้องห้ามตามมาตรา 65 ตรี (13) แห่งประมวลรัษฎากร