บัญชี ภาษี ธุรกิจนำเที่ยว กิจการบริษัททัวร์
บัญชี ภาษี ธุรกิจนำเที่ยว กิจการบริษัททัวร์ ในเบื้องต้นเราต้องทำความเข้าใจความหมายของคำว่า ธุรกิจนำเที่ยว คืออะไร เพื่อใช้ในการวางแผนภาษี ในส่วนรายได้ ค่าใช้จ่าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีหัก ณ ที่จ่าย ตามพรบธุรกิจนำเที่ยวกำหนดความหมายไว้ว่า
ธุรกิจนำเที่ยว หมายความถึง ธุรกิจเกี่ยวกับการนำนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยว หรือเดินทางไปเพื่อวัตถุประสงค์อื่น โดยจัดให้มีบริการหรือการอำนวยความสะดวกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่าง อันได้แก่ สถานที่พัก อาหาร มัคคุเทศก์ หรือบริการอื่นใดตามที่กำหนดในกฎกระทรวง ( พรบ. ธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ พ.ศ. 2551)
รายได้ที่เกี่ยวข้องกับ บัญชี ภาษี ธุรกิจนำเที่ยว กิจการบริษัททัวร์
กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตามหนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/ว. 6398
กรมสรรพากรได้วางแนวทางปฏิบัติไว้ตาม
1. หนังสือกรมสรรพากรที่ กค 0811/ว. 6398 เรื่อง ซ้อมความเข้าใจ ภาษีเงินได้หัก ณ ที่ จ่าย และภาษีมูลค่าเพิ่ม กรณีการประกอบกิจการนำเที่ยวในต่างประเทศ ลงวันที่ 2 มิถุนายน 2540 และ
2. หนังสือตอบข้อหารือกรมสรรพากรเลขที่ กค 0811/11473 ลงวันที่ 12 ธันวาคม 2544 เรื่อง ภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีกิจการท่องเที่ยว ดังนี้
การเสียภาษีมูลค่าเพิ่มและการหักภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย กรณีการประกอบกิจการนำเที่ยว
.1. การประกอบกิจการนำเที่ยวโดยรับบริการนำนักท่องเที่ยวเดินทางไป ท่องเที่ยวยังต่างประเทศ (out – bound) หรือจัดบริการนำนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาท่องเที่ยวในประเทศไทย (in – bound) ไม่ว่าการบริการจัดนำเที่ยวนั้นจะได้จัดเป็นหมู่คณะหรือเป็นเอกเทศ
การรับจัดนำเที่ยวดังกล่าวถือเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
2. ในกรณีคิดค่าบริการนำเที่ยวเป็นการเหมา (package tour) ซึ่งค่าบริการนำเที่ยวที่คิดเป็นการเหมานั้น
สำหรับกรณี out – bound ประกอบด้วยค่าบริการในการทำหนังสือเดินทางและจัดทำวีซ่า ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ค่าบริการนำเที่ยว รวมทั้งค่าโรงแรม ค่าอาหาร และค่าขนส่ง ณ ต่างประเทศ และ
กรณี in – bound ประกอบด้วยค่าบริการท่องเที่ยวรวมทั้งค่าขนส่งค่าอาหาร ค่าบัตรผ่านประตู ค่ามัคคุเทศก์ ค่าโรงแรมและค่าอาหารที่โรงแรม ค่าตั๋วโดยสาร เครื่องบินภายในประเทศ เป็นต้น
ผู้ประกอบการจะต้องนำค่าบริการนำเที่ยวที่คิดเป็นการเหมาซึ่งประกอบด้วย ค่าบริการใด ๆ ที่คิดเอาจากนักท่องเที่ยวทั้งหมดมาเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
และการให้บริการจัดนำเที่ยวดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากผู้จ่ายเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตรา ร้อยละ 3.0 ของค่าบริการนำเที่ยวที่คิดเป็นการเหมา ซึ่งประกอบด้วยค่าบริการใด ๆ ที่คิดจากนักท่องเที่ยวทั้งหมด ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป.4/2528 เรื่อง สั่งให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 แห่งประมวลรัษฎากร มีหน้าที่หักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
สำหรับการพิจารณาว่าผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวได้คิดค่าบริการนำเที่ยวเป็นการเหมา (package tour) หรือไม่ ให้พิจารณาจากสัญญาการให้บริการนำเที่ยว
3. กรณีค่าบริการนำเที่ยวมิได้คิดเป็นการเหมา แต่ได้มีการตกลงกับนักท่องเที่ยวโดยขอคิดสินจ้างเฉพาะค่านำเที่ยวและค่าบริการเท่านั้น
ส่วนค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสินจ้างดังกล่าว เช่น ค่าโรงแรม ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ค่าอาหารในโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวจ่ายทดรองให้นักท่องเที่ยวแต่ละคนไปก่อน โดยจ่ายไปจริงเท่าใดก็จะเรียกเก็บคืนจากนักท่องเที่ยวเท่านั้น (cost plus) และถ้ามีส่วนลดใด ๆ จากผู้รับ ค่าใช้จ่ายดังกล่าว ก็จะคืนส่วนลดนั้นให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งหมดโดยตนเองจะไม่รับเก็บไว้เป็นรายได้ของตน และผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวได้มีหลักฐานพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าได้มีการปฏิบัติเช่นนั้นจริง
ผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวมีสิทธินำเฉพาะสินจ้างที่เป็นค่านำเที่ยวและค่าบริการมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มตามมาตรา 79 แห่งประมวลรัษฎากร
สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสินจ้าง ซึ่ง ผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวได้เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวตามจำนวนที่ทดรองจ่ายไปจริง ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม
และการให้บริการรับจัดนำเที่ยว ดังกล่าวเข้าลักษณะเป็นการรับจ้างทำของตามมาตรา 587 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หากผู้จ่ายเงินเป็นบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือนิติบุคคลอื่น ผู้จ่ายเงินมีหน้าที่ต้องหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย ในอัตราร้อยละ 3.0 ของค่าสินจ้างที่เป็นค่านำเที่ยวและค่าบริการที่ผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวเรียกเก็บ ตามข้อ 8 ของคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 ฯ ลงวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2528
(cost plus) กรณีค่าบริการนำเที่ยวมิได้คิดเป็นการเหมา มีองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ คือ
กรณีค่าบริการนำเที่ยวมิได้คิดเป็นการเหมา มีองค์ประกอบที่สำคัญ ๆ คือ
(1) ได้มีการตกลงกับนักท่องเที่ยว โดยขอคิดสินจ้างเฉพาะค่านำเที่ยวและค่าบริการเท่านั้น ส่วนค่าใช้จ่ายที่นักท่องเที่ยวจะต้องจ่ายเพิ่มขึ้น นอกเหนือจากสินจ้างดังกล่าว เช่น ค่าโรงแรม ค่าตั๋วโดยสารเครื่องบิน ค่าอาหารในโรงแรม ซึ่งผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวจ่ายทดรองให้นักท่องเที่ยวแต่ละคนไปก่อน โดยจ่ายไปจริงเท่าใดก็จะเรียกเก็บคืนจากนักท่องเที่ยวเท่านั้น (cost plus) และ
(2) กรณีที่มีส่วนลดใด ๆ จากผู้รับ ค่าใช้จ่ายดังกล่าวก็จะคืนส่วนลดนั้นให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งหมดโดยตนเองจะไม่รับเก็บไว้เป็นรายได้ของตน และ
(3) ผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวได้มีหลักฐานพิสูจน์ได้อย่างชัดแจ้งปราศจากข้อสงสัยว่าได้มีการปฏิบัติเช่นนั้นจริง
เช่นนี้ ผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวมีสิทธินำเฉพาะสินจ้างที่เป็นค่านำเที่ยวและค่าบริการมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตรา 7% สำหรับค่าใช้จ่ายอื่นที่นักท่องเที่ยวต้องจ่ายเพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสินจ้าง ซึ่งผู้ประกอบการที่รับจัดนำเที่ยวได้เรียกเก็บจากนักท่องเที่ยวตามจำนวนที่ทดรองจ่ายไปจริง ไม่ต้องนำมารวมคำนวณเป็นมูลค่าของฐานภาษีเพื่อเสียภาษีมูลค่าเพิ่มแต่อย่างใด
รายได้ที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว
รายได้จากการประกอบกิจการนำเที่ยวโดยรับบริการนำนักท่องเที่ยวเดินทางไป ท่องเที่ยวยังต่างประเทศ (out – bound) หรือจัดบริการนำนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาท่องเที่ยวในประเทศไทย (in – bound) ไม่ว่าการบริการจัดนำเที่ยวนั้นจะได้จัดเป็นหมู่คณะหรือเป็นเอกเทศ
โดยทั่วไป การให้บริการในราชอาณาจักรและได้มีการใช้บริการในต่างประเทศ ดังเช่น กรณีบริการนำนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศนั้น พึงได้สิทธิเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 0
แต่ได้มีข้อกำหนดไว้เป็นพิเศษว่า กรณี การให้บริการที่กระทำในราชอาณาจักรแก่ผู้รับบริการในต่างประเทศ และได้มีการใช้บริการนั้นในต่างประเทศ ที่เป็นการให้บริการนำนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวยังต่างประเทศนั้น ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 7.0 ดังเช่นกรณีจัดบริการนำนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศมาท่องเที่ยวในประเทศไทย และการให้บริการนำเที่ยวภายในประเทศ
การรับจัดนำเที่ยวดังกล่าวถือเป็นการให้บริการในราชอาณาจักรอยู่ในบังคับต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม ตามมาตรา 77/2 แห่งประมวลรัษฎากร
รายได้ของนิติบุคคลที่ประกอบธุรกิจนำเที่ยวมี รายได้หลักดังนี้
2. รายได้ค่า บริการ มัคคุเทศน์
3. รายได้ค่านายหน้าจาการจำหน่ายตั๋วเครื่องบิน
4. รายได้ค่านายหน้าจากการจองห้องพัก จำหน่ายบัตรเข้าชมการแสดง
5. รายได้จากการจัดเตรียมเอกสาร วีซ่า หนังสือเดินทาง
6. รายได้ค่านายหน้าประกันชีวิต ประกันวินาศภัย ที่ได้รับจากบริษัทประกันชีวิต / ประกันวินาศภัย
7. รายได้จากการให้ บริการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (มีภาษีมูลค่าเพิ่ม แต่ไม่มี ภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับผู้ประกอบการธุรกิจนำเที่ยว ( ภาษีมูลค่าเพิ่ม/ภาษีหัก ณ ที่จ่าย)
1. เงินเดือน และ ค่าตอบแทน พนักงาน สวัสดิการ เงินล่วงเวลา
2. ค่าเช่าอาคาร และ ค่าเช่ายานพาหนะ (นิติบุคคลจ่ายหัก ภาษีอัตราร้อยละ 5 )
3. ค่าเบี้ยประกันวินาศภัย (นิติบุคคลจ่ายหัก ภาษีอัตราร้อยละ 1 )
4. ค่าโฆษณา เผยแพระประชาสัมพันธ์ (นิติบุคคลจ่ายหัก ภาษีอัตราร้อยละ 2 )
5. ค่าทำบัญชี และ ค่าตรวจสอบบัญชี ค่าธรรมเนียมธนาคาร (นิติบุคคลจ่ายหัก ภาษีอัตราร้อยละ 3 )
6. ค่าส่งเสริมการขาย และ ค่านายหน้า (นิติบุคคลจ่ายหัก ภาษีอัตราร้อยละ 3 )
7. ภาษีอื่นๆ ภาษีโรงเรือน ภาษีป้าย ภาษีเงินได้นิติบุคคล เบี้ยปรับเงินเพิ่ม ทางกฎหมายภาษี และกฎหมายอาญา